ไม่พบผลลัพธ์
เราไม่พบอะไรกับคำที่คุณค้นหาในตอนนี้, ลองค้นหาอย่างอื่นดู
เครื่องคำนวณแคลอรี่นี้จะคำนวณจำนวนแคลอรี่ที่ต้องการในแต่ละวันเพื่อรักษาน้ำหนัก ลดน้ำหนัก หรือเพิ่มน้ำหนัก มาศึกษาเกี่ยวกับแคลอรี่ประเภทต่าง ๆ และทำความเข้าใจว่ามันส่งผลต่อคุณอย่างไร
น้ำหนัก | แคล/วัน | เปอร์เซ็นต์ | |
---|---|---|---|
การลดน้ำหนักอย่างรุนแรง |
-2 lb/สัปดาห์ | 1,626 cal/วัน | 62% |
การลดน้ำหนัก |
-1 lb/สัปดาห์ | 2,126 cal/วัน | 81% |
การลดน้ำหนักเล็กน้อย |
-0.5 lb/สัปดาห์ | 2,376 cal/วัน | 90% |
รักษาน้ำหนัก |
0 lb/สัปดาห์ | 2,626 cal/วัน | 100% |
เพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย |
+0.5 lb/สัปดาห์ | 2,876 cal/วัน | 110% |
เพิ่มน้ำหนัก |
+1 lb/สัปดาห์ | 3,126 cal/วัน | 119% |
เพิ่มน้ำหนักอย่างรุนแรง |
+2 lb/สัปดาห์ | 3,626 cal/วัน | 138% |
ผลลัพธ์
9000 J = 2151.05 cal
2000 cal = 8368 J
เกิดข้อผิดพลาดกับการคำนวณของคุณ
คุณสามารถใช้เครื่องคำนวณแคลอรี่เครื่องนี้ได้ เพื่อคำนวณจำนวนแคลอรี่ที่ที่แต่ละคนต้องการในแต่ละวัน เครื่องคำนวณเครื่องนี้สามารถให้คำแนะนำในการเพิ่มน้ำหนักหรือลดน้ำหนักได้ง่าย ๆ อีกด้วย
เครื่องมือด้านล่างนี้อาจแปลงแคลอรี่และหน่วยพลังงานอาหารยอดนิยมอื่น ๆ ได้
ข้อสรุปของเครื่องคำนวณแคลอรี่เครื่องนี้ ขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยโดยประมาณและอิงจากสมการหลายประการ สมการแฮร์ริส-เบเนดิกต์ (The Harris-Benedict Equation) ก็เป็นหนึ่งในสูตรแรก ๆ ในการคำนวณอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (BMR) หรือปริมาณพลังงานที่ใช้ในแต่ละวันขณะพัก สูตรนี้ได้รับการปรับปรุงในปี พ.ศ. 2527 เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
มันถูกใช้จนถึงสูตรสมการมิฟฟลิน-เซนต์ จอร์ (Mifflin-St. Jeor Equation) ที่ได้รับการพัฒนาในปี พ.ศ.2533 ปัจจุบัน สมการมิฟฟลิน-เซนต์ จอร์ (Mifflin-St. Jeor Equation) ถือว่าแม่นยำที่สุดในการประมาณค่า BMR
สูตรสมการแคทช์-แมคอาร์เดิล (Katch-McArdle) ประมาณค่าในการใช้พลังงานรายวันขณะพัก (RDEE) ไม่ได้คำนึงถึงมวลกายแบบไร้ไขมัน ซึ่งสูตรสมการมิฟฟลิน-เซนต์ จอร์ (Mifflin-St. Jeor Equation) และสูตรสมการแฮร์ริส-เบเนดิกต์ (The Harris-Benedict Equation) ถูกลืมไป
สูตรสมการมิฟฟลิน-เซนต์ จอร์ (Mifflin-St. Jeor Equation) เป็นสูตรที่แม่นยำที่สุดในการหาค่า BMR จากสูตรเหล่านี้ แต่สูตรสมการแคทช์-แมคอาร์เดิล (Katch-McArdle) จะมีความแม่นยำมากกว่า สำหรับผู้ที่มีรูปร่างผอม โดยรู้เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย
เครื่องคำนวณนี้ใช้สมการสามสมการตามที่ระบุไว้ด้านล่างนี้ ได้::
เพศ | สูตร |
---|---|
ผู้ชาย | BMR = 10W + 6.25H - 5A + 5 |
ผู้หญิง | BMR = 10W + 6.25H - 5A - 161 |
เพศ | สูตร |
---|---|
ผู้ชาย | BMR = 13.397W + 4.799H - 5.677A + 88.362 |
ผู้หญิง | BMR = 9.247W + 3.098H - 4.330A + 447.593 |
เพศ | สูตร |
---|---|
สากล | BMR = 370 + 21.6(1 - F)W |
ผลลัพธ์จะประมาณจำนวนแคลอรี่ที่แต่ละคนอาจได้รับในหนึ่ง วันเพื่อให้น้ำหนักตัวได้อยู่นิ่ง อาหารหนึ่งปอนด์หรือ 0.45 กิโลกรัม คิดเป็นประมาณ 3,500 แคลอรี่
โดยทั่วไปแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่ได้พักผ่อนตลอดทั้งวัน และเพื่อให้ได้ค่าประมาณการรักษาน้ำหนักตัวที่แม่นยำยิ่งขึ้น ตัวเลขนั้นจะถูกคูณด้วยปัจจัยกิจกรรม (ปกติคือ 1.2-1.95) ปัจจัยนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณการออกกำลังกายตามปกติของแต่ละบุคคล
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้คนลด 500 แคลอรี่จากความต้องการแคลอรี่รายวันโดยประมาณ เพื่อลดน้ำหนัก 1 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคนเราต้องการ 2,500 แคลอรี่ต่อวัน เพื่อรักษาน้ำหนักโดยการบริโภค 2,000 แคลอรี่ต่อวันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ในกรณีนั้น พวกเขาจะสามารถลดได้ 3,500 แคลอรี่ หรือหนึ่งปอนด์
การผสมผสานระหว่างโภชนาการที่ดี และการออกกำลังกาย เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก ไม่แนะนำให้ลดการบริโภคแคลอรี่ลงเกิน 1,000 แคลอรี่ต่อวัน การสูญเสียน้ำหนักเกิน 2 ปอนด์ต่อสัปดาห์อาจเป็นอันตรายได้ และจะส่งผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามอย่างรวดเร็ว โดยมันจะทำให้ระบบเผาผลาญของคุณนั้นช้าลง การลดน้ำหนักเกิน 2 ปอนด์ต่อสัปดาห์จะส่งผลให้กล้ามเนื้อสูญเสียอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ BMR ลดลง โปรดทราบว่ามวลกล้ามเนื้อน้อยจะเท่ากับ BMR ที่ลดลง
การขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นส่วนหนึ่งของการรับประทานอาหารที่เสียต่อสุขภาพอย่างมาก อาจส่งผลร้ายแรงได้ ภาวะขาดน้ำอาจทำให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นอันตราย ดังนั้น การรักษาอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร ร่างกายจำเป็นต้องรักษากระบวนการเผาผลาญและฟื้นฟูตัวเอง
การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า การลดน้ำหนักที่เกิดขึ้นจากความอดอยากและการขาดน้ำอย่างรุนแรงนั้นไม่ได้ผล การลดน้ำหนักมักจะสามารถกลับมาเป็นไขมันได้ ส่งผลให้บุคคลนั้นอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนที่เริ่มควบคุมอาหาร นอกจากการนับแคลอรี่แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตความต้องการของร่างกายสำหรับไฟเบอร์ และสารอาหารอื่น ๆ
ในระดับพื้นฐานทั่วไป เราสามารถแบ่งการนับแคลอรี่สำหรับการลดน้ำหนักออกเป็นขั้นตอนพื้นฐานได้ในหลายขั้นตอน:
สูตรสมการของแคทช์-แมคอาร์เดิล (Katch-McArdle) จะสามารถวัด BMR ของคุณได้แม่นยำยิ่งขึ้น หากคุณทราบเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายของคุณ ผลลัพธ์ของสูตรเหล่านี้เป็นค่าประมาณ การลด 500 แคลอรี่จาก BMR ของคุณไม่ได้รับประกันว่าน้ำหนักจะลดลง 1 ปอนด์ทุกสัปดาห์อย่างแน่นอน มันอาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่านั้นก็ได้
เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า การขาดดุลประมาณ 3,500 แคลอรี่จะเทียบเท่ากับการลดน้ำหนักได้หนึ่งปอนด์ (ประมาณ 0.45 กิโลกรัม) คุณสามารถตั้งเป้าที่จะลดน้ำหนักได้ประมาณ 1 ปอนด์ต่อสัปดาห์โดยการลดปริมาณแคลอรี่ในแต่ละวันลง 500 แคลอรี่ให้ต่ำกว่าค่า BMR โดยที่คุณประมาณไว้ หากต้องการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วนมากขึ้น ให้ลดปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวันลงไม่เกิน 1,000 แคลอรี่
อย่างไรก็ตาม การลดน้ำหนักมากกว่า 2 ปอนด์ต่อสัปดาห์อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณได้ หากคุณตั้งเป้าที่จะลดน้ำหนักเกินกว่าอัตรานี้ ขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ หรือผู้เชี่ยวชาญนักโภชนาการที่มีใบประกอบการ
แอปสมาร์ทโฟนธรรมดาทั่วไปหลายยี่ห้อจะสามารถช่วยคุณติดตามแคลอรี่ และกิจกรรมของคุณได้ ส่วนใหญ่ (หากไม่นับทั้งหมด) จะรวมค่าประมาณแคลอรี่สำหรับอาหารหรู หรืออาหารจานด่วนหลากหลายรายการในร้านอาหารด้วย
สมาร์ทโฟนสามารถทำนายแคลอรี่ขึ้นอยู่กับจำนวนส่วนผสมอาหารที่เฉพาะเจาะจง การตรวจสอบขนาด และน้ำหนักของมื้ออาหาร และการคำนวณปริมาณแคลอรี่อาจเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับหลาย ๆ คน
อย่างไรก็ตาม สมมติว่าคุณคำนวณ และบันทึกจำนวนแคลอรี่ในมื้ออาหารปกติบางมื้อของคุณอย่างเป็นประจำ ซึ่งคุณรู้ระดับแคลอรี่อยู่แล้ว ในกรณีนี้ การคาดการณ์ปริมาณแคลอรี่จะง่ายขึ้นมาก โดยไม่ต้องชั่งน้ำหนัก หรือประเมินอาหารทุกครั้ง บางเว็บไซต์สามารถช่วยเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าคุณเก็บสเปรดชีต Excel หรือแม้แต่ไดอารี่ที่บันทึกไว้ ก็เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลเช่นกัน
คุณต้องพิจารณาถึงการสูญเสีย หรือเพิ่มของกล้ามเนื้อกับไขมัน ให้ตรวจสอบผลลัพธ์ของคุณเมื่อเวลาผ่านไป และหากจำเป็น ทำการปรับเปลี่ยน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของคุณให้ดีขึ้น
ความผันผวนของน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญอาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการใช้น้ำ หรือช่วงเวลาของวัน การรวบรวมผลของการคำนวณเป็นระยะเวลานาน เช่น รายสัปดาห์ จะดีที่สุด นอกจากนี้ ยังดีกว่าที่จะดำเนินการภายใต้สภาวะคงที่ เช่น การชั่งน้ำหนักตัวเองเป็นอันดับแรกในตอนเช้า และก่อนอาหารเช้า แทนที่จะชั่งน้ำหนักเป็นช่วงๆในตลอดทั้งวัน
**
การนับแคลอรี่ไม่ใช่หลักของวิทยาศาสตร์ที่แม่นยำ วิธีการข้างต้นเป็นความพยายามในการนับแคลอรี่ในระดับพื้นฐานที่สุด พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงปริมาณสารอาหารหลักที่กินเข้าไป
ไม่มีอัตราส่วนสารอาหารหลักโดยเฉพาะ (ไขมัน โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต) ที่เหมาะที่สุดต่อสุขภาพ แต่การรับประทานอาหารที่แตกต่างกันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าส่งผลต่อสุขภาพ ความอยากอาหาร และจำนวนแคลอรี่ที่ใช้ไปที่แตกต่างกันไป อาหารจากพืช และสัตว์ที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุดมีประโยชน์มากกว่าในการรักษาน้ำหนักให้ดีต่อสุขภาพ
มีหลากหลายวิธีในการลดน้ำหนัก ไม่ได้มีวิธีเดียวที่เหมาะกับทุกคน เราะมีโปรแกรมการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายแบบพิเศษอยู่มากมาย แม้ว่าวิธีการลดน้ำหนักเฉพาะเจาะจงจะมีประโยชน์มากกว่าสำหรับผู้ใหญ่แต่ละคน แต่ขั้นตอนการลดน้ำหนักบางวิธีก็ไม่เหมือนกัน
การนับแคลอรี่เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่แพร่หลาย และเป็นหนึ่งในในวิธีที่ประสิทธิภาพที่สุด ในรูปแบบพื้นฐานที่สุด แคลอรี่ที่กินเข้าไปลบด้วยแคลอรี่ที่ออกแรงไปจะช่วยเพิ่มน้ำหนักได้หากผลลัพธ์เป็นบวก หรือลดน้ำหนักหากตัวเลขเป็นลบ ไม่ว่าประสิทธิภาพหรือสุขภาพจะเป็นอย่างไร การบริโภคแคลอรี่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องหรือการออกกำลังกายที่เพิ่มขึ้นควรนำไปสู่การลดน้ำหนักได้
การนับแคลอรี่ให้ประโยชน์เพิ่มเติมที่วัดผลได้น้อยกว่า เช่น การช่วยให้มีสติเรื่องการบริโภคอาหาร หลาย ๆ คนเพิกเฉยต่อการบริโภคแคลอรี่ในแต่ละวัน หรือคำนวณการบริโภคแคลอรี่ที่ต่ำจนเกินไป การนับแคลอรี่ช่วยให้คุณเข้าใจอาหารประเภทต่าง ๆ ได้ดีขึ้น จำนวนแคลอรี่ที่รวมอยู่ในนั้น และแคลอรี่เหล่านั้น มันจะส่งผลต่อความรู้สึกอิ่มของคุณ
คุณสามารถควบคุมปริมาณอาหารได้ง่ายขึ้น และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีแคลอรี่ที่ว่างเปล่า คุณต้องเข้าใจว่า ในโดริโทสหนึ่งถุงนั้น มีแคลอรี่อยู่เท่าไร ปริมาณแคลอรี่ที่คุณบริโภคต่อวัน และของว่างที่สนองความหิวของคุณและให้องค์ประกอบที่จำเป็นแก่คุณมากน้อยแค่ไหน
การวัดแคลอรี่ที่แม่นยำยังช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากคุณสามารถกำหนดเป้าหมายแคลอรี่ได้ แทนที่จะพยายามทานอาหารให้น้อยลง ผู้คนชอบที่จะใส่อาหารหลายอย่างลงในจาน และกินทุกอย่างที่ใส่ไว้ การควบคุมสัดส่วนโดยการรับประทานอาหารจากจานที่เล็กลงอาจช่วยลดการบริโภคแคลอรี่ได้
หลายคนไม่รู้ว่าพวกเขากำลังกินเยอะจนเกินไป เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการทานอาหารในร้านอาหาร บางครั้งปริมาณดังกล่าวอาจมากกว่าปริมาณปกติ และจำเป็นต่อการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพถึงสามเท่า หรือมากกว่านั้น
การติดตามแคลอรี่ยังทำให้การออกกำลังกายมาสู่บริบทอีกด้วย เพราะจะช่วยเพิ่มความรู้ของบุคคลนั้นว่าต้องทำกิจกรรมมากแค่ไหน เพื่อให้เผาผลาญขนม M&M’s หนึ่งถุง ที่มี 220 แคลอรี่ได้ มันช่วยส่งเสริมการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เมื่อบุคคลนั้นสามารถเห็นความเชื่อมโยงระหว่างปริมาณการออกกำลังกายที่สอดคล้องกับของว่าง พวกเขาสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น ตัวอย่างเช่น พวกเขาสรุปว่าการข้ามขนมมันฝรั่งทอดนั้นดีกว่าการออกกำลังกายในปริมาณที่เทียบเคียงได้
คุณสามารถเลือกแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะกับคุณได้ การนับแคลอรี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายวิธีในการลดน้ำหนัก และแม้จะอยู่ในหนึ่งของวิธีการลดน้ำหนัก ก็ยังมีวิธีการลดน้ำหนักอีกมากมาย ที่ใครๆก็สามารถทำตามได้
การสลับปริมาณแคลอรี่ในรูปแบบซิกแซก เป็นอีกหนึ่งในวิธีการลดน้ำหนักที่พยายามต่อสู้กับแนวโน้มการปรับตัวโดยธรรมชาติของร่างกาย แม้ว่าการนับ และการจำกัดแคลอรี่เป็นแนวทางที่สมเหตุสมผลในการลดน้ำหนัก แต่ร่างกายสามารถปรับตัวให้รับแคลอรี่ที่น้อยลงได้
เมื่อทำวิธีนี้ ก็สามารถนำไปสู่ภาวะลดน้ำหนักที่ยากจะเอาชนะได้ การสลับปริมาณแคลอรี่แบบซิกแซก แคลอรี่จะสามารถช่วยได้โดยการหยุดร่างกายไม่ให้ปรับตัวเข้ากับสภาวะแคลอรี่ที่ลดลง
จำนวนแคลอรี่ที่กินเข้าไปจะสลับกันในการสลับปริมาณแคลอรี่แบบซิกแซก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแคลอรี่รายสัปดาห์โดยรวมที่เท่ากัน คนที่รับประทานอาหารแบบซิกแซกจะต้องมีวันที่มีการบริโภคแคลอรี่สูง และแคลอรี่ต่ำผสมกัน ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายแคลอรี่รายสัปดาห์ของคุณคือ 14,000 แคลอรี่ คุณสามารถรับประทานอาหารได้ 2,300 แคลอรี่สามวันต่อสัปดาห์ และ 1,775 แคลอรี่อีกสี่วันที่เหลือ หรือคุณอาจกิน 2,000 แคลอรี่ทุกวัน
ในทั้งสองกรณี ร่างกายจะบริโภคพลังงาน 14,000 แคลอรี่ในระหว่างสัปดาห์ แต่จะไม่ปรับตัวหรือปรับให้เข้ากับอาหาร 2,000 แคลอรี่ สิ่งนี้ทำให้ผู้คนมีความยืดหยุ่นในการรับประทานอาหารมากขึ้น จะช่วยให้พวกเขาสามารถจัดกำหนดการกิจกรรมต่างๆได้ เช่น งานกินเลี้ยง หรืองานฉลองในครอบครัว เมื่อพวกเขาอาจจะต้องกินอาหารที่เยอะขึ้น
การบริโภคแคลอรี่น้อยลงในบางวันจะทำให้ผู้คนได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมเหล่านี้ หรือมี "วันโกง" ในวันนี้พวกเขาอาจกินอะไรก็ได้ที่อยากกินโดยไม่รู้สึกแย่ เพราะวันแคลอรี่ต่ำจะช่วยชดเชยแคลอรี่ส่วนเกิน
ไม่มีแนวทาง หรือการวิจัยที่ชัดเจนระบุถึงวิธีที่ดีที่สุดในการสลับปริมาณแคลอรี่ หรือกระจายการบริโภคแคลอรี่ โดยทั่วไปนักโภชนาการแนะนำว่าวันที่แคลอรี่สูงและแคลอรี่ต่ำแตกต่างกัน 200–300 แคลอรี่ ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของแต่ละคน ขึ้นอยู่กับคุณที่จะเปลี่ยนปริมาณแคลอรี่ของคุณ
ความแตกต่างของแคลอรี่ควรมีความสำคัญมากกว่าสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายมากกว่า เครื่องคำนวณนี้จะนำเสนอถึงโปรแกรมลดน้ำหนักในการสลับปริมาณการนับแคลรี่สองโปรแกรม โดยในแผนแรกประกอบด้วยสองวัน โดยจะมีแคลอรี่มากขึ้น และห้าวันโดยมีแคลอรี่ลดลง และในแผนที่สองจะค่อย ๆ เพิ่ม และลดปริมาณแคลอรี่ลง ปริมาณแคลอรี่รายสัปดาห์โดยรวมจะเท่ากันในทั้งสองวิธีนี้ ไม่สำคัญว่าคุณจะใช้วิธีไหนในการลดน้ำหนัก แต่สิ่งสำคัญคือให้คุณเลือกแผนที่เหมาะกับคุณ
การนับแคลอรี่และการสลับปริมาณแคลอรี่แบบซิกแซกเป็นสองวิธีในการลดน้ำหนักที่สัมพันธ์กัน แม้ในสองในวิธีเหล่านี้ ก็ยังมีอีกหลายแนวทางอื่น ที่บุคคลนั้นอาจทำตามได้
กำหนดวิธีการที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ และเลือกวิธีที่คุณคิดว่าคุณสามารถทำได้ และมันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว ในแบบที่คุณต้องการ
หลาย ๆ คนอยากจะลดน้ำหนัก และแนวทางที่ดีที่สุดคือการบริโภคแคลอรี่ให้น้อยลงในแต่ละวัน แต่ร่างกายต้องการแคลอรี่จำนวนเท่าไหร่เพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง? ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาตามระดับการออกกำลังกายในแต่ละวัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของแต่ละคน
มีวิธีใรการลดน้ำหนักหลายอย่างที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ บางวิธีไม่เป็นที่รู้จัก หรือเป็นที่รู้จักมากนัก อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง เพศ ระดับกิจกรรมทางกาย และสุขภาพโดยรวมส่งผลต่อปริมาณแคลอรี่ที่บุคคลต้องการเพื่อสุขภาพที่ดี
ตัวอย่างเช่น ผู้ชายวัย 25 ปีที่มีสุขภาพดี และความคล่องแคล่ว มีความสูง 6 ฟุต ซึ่งจะใช้พลังงานมากกว่าผู้หญิงวัย 70 ปีที่สูง 5 ฟุต และไม่ได้ออกกำลังกายบ่อยนัก เพศชายในวัยผู้ใหญ่จะต้องการประมาณ 2,000–3,000 แคลอรี่ต่อวันเพื่อรักษาน้ำหนัก ในขณะที่เพศหญิงในวัยผู้ใหญ่จะต้องการระหว่าง 1,600–2,400 แคลอรี่ต่อวัน
ร่างกายไม่ต้องการแคลอรี่จำนวนมากในการใช้ชีวิต และการบริโภคแคลอรี่น้อยเกินไปทำให้ร่างกายทำงานไม่ถูกต้อง โดยจะใช้แคลอรี่สำหรับกิจกรรมการเอาชีวิตรอดที่สำคัญเท่านั้น และมองข้ามแคลอรี่ที่สำคัญต่อสุขภาพโดยรวม
เว้นแต่จะได้รับการดูแลทางการแพทย์ มีสำนักพิมพ์ได้ตีพิมพ์ด้านสุขภาพ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยจะแนะนำให้ผู้หญิงบริโภคอย่างน้อย 1,200 แคลอรี่ และผู้ชายบริโภคอย่างน้อย 1,500 แคลอรี่ต่อวัน
สำหรับใครก็ตามที่พยายามลดน้ำหนัก ผู้เชี่ยวชาญแนะนำอย่างยิ่งให้คุณติดตามปริมาณแคลอรี่และปรับเปลี่ยนตามความต้องการทางโภชนาการของคุณ
คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันเป็นแหล่งแคลอรี่หลักในอาหารของคนทั่วไป จากการวิจัยในบางวิจัย แคลอรี่ที่แสดงบนบรรจุภัณฑ์อาหาร และแคลอรี่ที่กินและเก็บไว้อาจแตกต่างกันอย่างมาก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของแคลอรี่และโภชนาการ ซึ่งอธิบายว่าทำไมจึงมีมุมมองที่แตกต่างกันมากมายเกี่ยวกับวิธีที่ "ดีที่สุด" ในการลดน้ำหนัก
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีที่เราเคี้ยวอาหารส่งผลต่อการลดน้ำหนัก การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดยิ่งขึ้นจะช่วยเพิ่มจำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญระหว่างการย่อยอาหาร คนที่เคี้ยวอาหารเป็นเวลานานจะบริโภคแคลอรี่น้อยลงเพราะต้องใช้เวลานานกว่าจึงจะอิ่มได้ ดังนั้น พวกเขาจึงกินแคลอรี่น้อยลง น่าเสียดายที่ผลกระทบของการเคี้ยว และการย่อยอาหารต่ออาหารประเภทต่าง ๆ ยังไม่เป็นที่เข้าใจแน่ชัด ส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เฉพาะ เช่น กาแฟ ชา พริก อบเชย และขิง ได้รับการค้นพบว่าช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญแคลอรี่ได้ มันจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น เพราะจำเป็นต้องใช้แคลอรี่มากขึ้นเพื่อสลายแคลอรี่เหล่านั้น ส่วน ผลไม้ ผัก เนื้อไม่ติดมัน เมล็ดธัญพืช และอาหารอื่น ๆ ต้องใช้ความพยายามในการย่อยมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้คุณรู้สึกอิ่มนานอีกด้วย
การพิจารณา "คุณภาพ" ของแคลอรี่ที่บริโภคเข้าไปก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน นักโภชนาการแบ่งอาหารออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ อาหารแคลอรี่สูง อาหารแคลอรี่ต่ำ และอาหารแคลอรี่ที่ว่างเปล่า
อาหารที่มีแคลอรี่สูงนั้นมีแคลอรี่หนาแน่น ซึ่งหมายความว่าแต่ละมื้อจะมีแคลอรี่จำนวนมาก ในทางตรงกันข้าม อาหารแคลอรี่ต่ำจะมีแคลอรี่น้อยกว่าต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
อาหารแคลอรี่สูง ได้แก่ ไขมัน น้ำมัน อาหารทอด และของหวาน ตัวอย่างเช่น อะโวคาโด ควินัว ถั่ว และธัญพืชล้วนเป็นอาหารแคลอรี่สูง ซึ่งหากบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะจะถือว่าดีต่อสุขภาพ
จากการวิจัยพบว่าการกินแครอท 500 แคลอรี่เทียบกับป๊อปคอร์น 500 แคลอรี่แตกต่างกันอย่างมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความแตกต่างในวิธีการรับประทานและแปรรูปอาหารดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ตัวอย่างเช่น แครอททำให้เราเคี้ยวมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าเราจะเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นในขณะที่กำลังย่อยพวกมัน
อาหารแคลอรี่ต่ำประกอบด้วยผัก และผลไม้บางชนิด ในขณะที่แคลอรี่ที่ว่างเปล่า เช่น อาหารที่พบในน้ำตาล และไขมันแปรรูปเป็นแคลอรี่ที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ
ไม่มีสัดส่วนที่เหมาะสมของสารอาหารหลักที่แต่ละบุคคลควรบริโภค เพื่อรักษาอาหารเพื่อสุขภาพ หรือลดน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารที่ "ดีต่อสุขภาพ" ที่อุดมไปด้วยอาหารที่ไม่แปรรูป เช่น ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้น้ำหนักลดลงในระยะยาว
โปรดจำไว้ว่าจำนวนแคลอรี่ที่แสดงบนฉลากโภชนาการไม่ได้สะท้อนถึงจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายสามารถประหยัดได้เสมอไป
เครื่องดื่มคิดเป็นประมาณ 21% ของปริมาณแคลอรี่ที่คนทั่วไปได้รับ แคลอรี่ที่ว่างเปล่าคิดเป็นส่วนใหญ่ของแคลอรี่ทั้งหมดนี้ โซดาเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้รับแคลอรี่จากของเหลว ควรดื่มน้ำ ชา หรือกาแฟโดยไม่เติมน้ำตาล นอกจากนี้ เครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เช่น น้ำผลไม้และนม ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อหลีกเลี่ยงการบั่นทอนคุณประโยชน์ทางโภชนาการ
อาหารทุกชนิด รวมทั้ง "อาหารเพื่อสุขภาพ" ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ความแตกต่างอาจเป็นเรื่องหลอกลวงได้ เพราะแม้แต่อาหารตามธรรมชาติ เช่น ผลไม้ ก็ยังมีปริมาณของน้ำตาลสูง อาหารที่มีตราสินค้าว่าเป็น "อาหารเพื่อสุขภาพ" เช่น อาหารแคลอรี่ต่ำ และอาหารที่มีไขมันต่ำ สามารถทดแทนส่วนผสมที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้ ด้วยอีกส่วนผสมหนึ่ง
อาหารไขมันต่ำหลายชนิดมีน้ำตาลจำนวนมาก เพื่อชดเชยการสูญเสียรสชาติเนื่องจากไขมันลดลง ดังนั้น การตรวจสอบส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์อาหารจึงมีความสำคัญในการตัดสินใจว่าจะรวมส่วนประกอบดังกล่าวไว้ในอาหารของคุณหรือไม่
อาหาร | ขนาดหน่วยบริโภค | แคลอรี่ | กิโลจูล |
---|---|---|---|
ผลไม้ | |||
แอปเปิล | 1 (4 ออนซ์) | 59 | 247 |
กล้วย | 1 (6 ออนซ์) | 151 | 632 |
องุ่น | 1 ถ้วย | 100 | 419 |
ส้ม | 1 (4 ออนซ์) | 53 | 222 |
ลูกแพร์ | 1 (5 ออนซ์) | 82 | 343 |
ลูกพีช | 1 (6 ออนซ์) | 67 | 281 |
สัปปะรด | 1 ถ้วย | 82 | 343 |
สตรอเบอร์รี่ | 1 ถ้วย | 53 | 222 |
แตงโม | 1 ถ้วย | 50 | 209 |
ผัก | |||
หน่อไม้ฝรั่ง | 1 ถ้วย | 27 | 113 |
บร็อคโคลี | 1 ถ้วย | 45 | 188 |
แครอท | 1 ถ้วย | 50 | 209 |
แตงกวา | 4 ออนซ์ | 17 | 71 |
มะเขือยาว | 1 ถ้วย | 35 | 147 |
ผักกาดหอม | 1 ถ้วย | 5 | 21 |
มะเขือเทศ | 1 ถ้วย | 22 | 92 |
โปรตีน | |||
เนื้อวัว ,ธรรมดา ,แบบปรุงสุก | 2 ออนซ์ | 142 | 595 |
ไก่, แบบปรุงสุก | 2 ออนซ์ | 136 | 569 |
เต้าหู้ | 4 ออนซ์ | 86 | 360 |
ไข่ไก่ | 1 ใหญ่ | 78 | 327 |
ปลา, ปลากด, แบบปรุงสุก | 2 ออนซ์ | 136 | 569 |
เนื้อหมู, แบบปรุงสุก | 2 ออนซ์ | 137 | 574 |
กุ้ง, แบบปรุงสุก | 2 oz. | 56 | 234 |
อาหาร/ของว่างทั่วไป | |||
ขนมปังขาว | 1 แผ่น (1 ออนซ์) | 75 | 314 |
เนย | 1 ช้อนโต๊ะ | 102 | 427 |
ซีซาร์สลัด | 3ถ้วย | 481 | 2014 |
ชีสเบอร์เกอร์ | 1 แซนด์วิช | 285 | 1193 |
แฮมเบอร์เกอร์ | 1 แซนด์วิช | 250 | 1047 |
ดาร์กช็อกโกแลต | 1 ออนซ์ | 155 | 649 |
ข้าวโพด | 1 ถ้วย | 132 | 553 |
พิซซ่า | 1 แผ่น (14") | 285 | 1193 |
มันฝรั่ง | 6 ออนซ์ | 130 | 544 |
ข้าว | 1 ถ้วย แบบหุงสุกแล้ว | 206 | 862 |
แซนด์วิช | 1 (6" แซนวิชไก่งวงของ Subway) | 200 | 837 |
เครื่องดื่ม/ผลิตภัณฑ์นม | |||
เบียร์ | 1 กระป๋อง | 154 | 645 |
โคคา-โคล่า คลาสสิค | 1 กระป๋อง | 150 | 628 |
ไดเอทโค้ก | 1 กระป๋อง | 0 | 0 |
นม (1%) | 1 ถ้วย | 102 | 427 |
นม (2%) | 1 ถ้วย | 122 | 511 |
นม (ทั้งหมด) | 1 ถ้วย | 146 | 611 |
น้ำส้ม | 1แก้ว | 111 | 465 |
แอปเปิ้ลไซเดอร์ | 1 ถ้วย | 117 | 490 |
โยเกิร์ต (ไขมันต่ำ) | 1 ถ้วย | 154 | 645 |
โยเกิร์ต (ไม่มีไขมัน) | 1 ถ้วย | 110 | 461 |
มื้ออาหาร | แผน 1200 แคล | แผน 1500 แคล | แผน 2000 แคล |
---|---|---|---|
มื้อเช้า | ซีเรียลธัญพืชรำข้าวทั้งหมดl (125) | กราโนล่า (120) | ขนมปังปิ้งเนย (150) |
นม (50) | กรีกโยเกิร์ต (120) | ไข่ไก่ (80) | |
กล้วย (90) | บลูเบอร์รี่ (40) | กล้วย (90) | |
อัลมอนด์ (170) | |||
ของว่าง | แตงกวา (30) | ส้ม (70) | กรีกโยเกิร์ต (120) |
ซอสจิ้มอโวคาโด (50) | บลูเบอร์รี่ (40) | ||
ทั้งหมด | 345 แคลอรี่ | 350 แคลอรี่ | 650 แคลอรี่ |
มื้อกลางวัน | ชีสย่างกับมะเขือเทศ (300) | ซุปไก่และผัก (300) | ไก่ย่าง(225) |
สลัด (50) | ขนมปัง (100) | ผักย่าง (125) | |
พาสต้า (185) | |||
ของว่าง | วอลนัท (100) | แอปเปิล (75) | ฮุมมุส (50) |
เนยถั่ว (75) | เบบี้แครอท (35) | ||
แครกเกอร์ (65) | |||
ทั้งหมด | 450 แคลอรี่ | 550 แคลอรี่ | 685 แคลอรี่ |
มื้อเย็น | ไก่ย่าง (200) | สเต็ก (375) | แซลม่อนย่าง (225) |
ถั่วงอกบรัสเซลส์ (100) | มันฝรั่งบด (150) | ข้าวกล้อง (175) | |
ควินัว (105) | หน่อไม้ฝรั่ง (75) | ถั่วเขียว (100) | |
วอลนัท (165) | |||
ทั้งหมด | 405 แคลอรี่ | 600 แคลอรี่ | 665 แคลอรี่ |
กิจกรรม (1 ชั่วโมง) | 125 ปอนด์ ต่อคน | 155 ปอนด์ ต่อคน | 185 ปอนด์ ต่อคน |
---|---|---|---|
กอล์ฟ (ใช้รถกอล์ฟ) | 198 | 246 | 294 |
เดิน (3.5 ไมล์/ช.ม.) | 215 | 267 | 319 |
พายเรือคายัค | 283 | 352 | 420 |
ซอฟท์บอล/เบสบอล | 289 | 359 | 428 |
ว่ายน้ำ (ฟรีสไตล์ ในระดับปานกลาง) | 397 | 492 | 587 |
เทนนิส (ทั่วไป) | 397 | 492 | 587 |
วิ่ง (ระยะทาง 9 นาที) | 624 | 773 | 923 |
ปั่นจักรยาน (12-14 ไมล์ต่อชั่วโมง ระดับปานกลาง) | 454 | 562 | 671 |
ฟุตบอล (ทั่วไป) | 399 | 494 | 588 |
บาสเก็ตบอล (ทั่วไป) | 340 | 422 | 503 |
ฟุตบอล (ทั่วไป) | 397 | 492 | 587 |
ส่วนประกอบของอาหาร | กิโลจูลต่อกรัม | แคลอรี่(กิโลแคลอรี่) ต่อกรัม | กิโลจูลต่อออนซ์ | แคลอรี่ (กิโลแคลอรี่) ต่อออนซ์ |
---|---|---|---|---|
ไขมัน | 37 | 8.8 | 1,049 | 249 |
โปรตีน | 17 | 4.1 | 482 | 116 |
คาร์โบไฮเดรต | 17 | 4.1 | 482 | 116 |
ไฟเบอร์ | 8 | 1.9 | 227 | 54 |
เอทานอล (การดื่มแอลกอฮอล์) | 29 | 6.9 | 822 | 196 |
กรดอะมิโน | 13 | 3.1 | 369 | 88 |
โพลีออล (น้ำตาลแอลกอฮอล์, สารให้ความหวาน) | 10 | 2.4 | 283 | 68 |